ไวรัสคอมพิวเตอร์

ไวรัสคอมพิวเตอร์คืออะไร?!?

ไวรัสคืออะไร?!?
ไวรัสคอมพิวเตอร์คือ Software รูปแบบหนึ่งที่มีหน้าที่ก่อกวน โฆษณา แอบดูพฤติกรรม ขัดขวาง หรือทำลายข้อมูลในระบคอมพิวเตอร์ ,ระบบเครือข่าย ผลจากการติดไวรัสจะทำให้คอมพิวเตอร์หรือระบบเครือข่ายทำงานต่างไปจากภาวะปกติ เช่น ทำงานช้ากว่าเดิม, เปิดข้อมูลไม่ได้, มีภาพแปลก ๆ เสียงแปลก ๆ ออกมา, มีการส่งข้อมูลส่วนตัวจากเครื่องเราออกไป, ทำให้เครื่องเราโจมตีเป้าหมายที่ไวรัสกำหนด, เข้าสู่ระบบเครือข่ายไม่ได้ ,หรือแม้แต่ทำให้เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่ได้ไวรัสส่วนใหญ่มีความสามารถในการสำเนาตัวเองไปสู่คอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ โดยผ่านทางสื่อบันทึกข้อมูลหรือระบาดผ่านทางระบบเครือข่าย ซึ่งสื่อบันทึกข้อมูลที่ระบาดอย่างหนักในอดีตคือ Floppy Disk แต่ปัจจุบันจะระบาดใน Thumb Drive หรือ Flash Drive แทน ส่วนระบบเครือข่ายที่ระบาดหนักที่สุด รุนแรงที่สุด และรวดเร็วที่สุดคือ ระบบอินเทอร์เน็ท ไม่ว่าจะมีไวรัสที่ปะปนมากับ Scripts ในเว็บไซท์ ระบาดจากไฟล์ที่แนบในอีเมลล์ หรือแม้แต่ระบาดผ่านทางโปรแกรมสนทนา เช่น MSN QQ Pirch เป็นต้น
ไวรัสอยู่คู่กับคอมพิวเตอร์มาช้านาน
        จำความได้ตั้งแต่เริ่มเล่นคอมพิวเตอร์วันแรก ใคร ๆ ก็บอกให้ระวังไวรัส จะใช้งานคอมพิวเตอร์กันสักครั้ง ก็ต้องคอยระวังไวรัส ไวรัสสมัยแต่แรกจะระบาดผ่านทาง Floppy Disk กันเท่านั้น ซึ่งเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ไม่มีใครคิดหรอกครับว่าสามารถเอาข้อมูลใส่แผ่น CD ได้ ดังนั้นเมื่อก่อนไวรัสจะแพร่กระจายช้า และมีอยู่ไม่กี่รูปแบบ สามารถป้องกันได้ หากไม่ให้ใส่แผ่น Floppy Disk ไวรัสก็ไม่สามารถเข้าเครื่องได้แล้ว ปัจจุบันกับไวรัสข้ามโลกภายในพริบตา ผ่านมาเกือบ 20 ปี สิ่งที่คิดว่าสูงเกินเอื้อม กลับมีไว้ในครอบครอง สิ่งที่คิดว่าเป็นเทคโนโลยีสำหรับคนรวย กลับมีใช้กันอย่างสามัญ ตัวไวรัสก็เช่นกัน จากที่ระบาดเฉพาะแผ่น Floppy Disk กลายเป็นระบาดผ่าน ThumbDrive (Flash Drive) จากที่ระบาดจากเครื่องไปสู่เครื่อง กลายเป็นระบาดจากเครื่องไปสู่องค์กร ทั่วทุกมุมโลกในพริบตา ตัวไวรัสเองก็มีหลายรูปแบบขึ้น แต่จุดมุ่งหมายหลักส่วนใหญ่มักประสงค์ร้าย กับคอมพิวเตอร์หรือระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หากดูข่าวว่ามีไวรัสระบาดที่อเมริกาเมื่อ 5 นาทีที่ผ่านมา คุณอาจเห็นว่ามันไกล แต่ด้วยเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ท ที่เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันจากทั่วโลก เจ้าไวรัสที่ระบาดในอเมริกา เมื่อ 5 นาทีนั้นอาจอยู่ในเครื่องของคุณแล้วด้วย
การป้องกันไวรัส
        การป้องกันไวรัสที่ดีที่สุดและได้ผลที่สุดคือปิดการติดต่อกับอุปกรณ์อื่น และปิดการใช้ระบบสื่อสารทุก ๆ ประเภท หากทำได้รับประกันว่าคุณปลอดภัยจากไวรัสอย่างแน่นอน แต่ในความเป็นจริงแล้ว คงทำอย่างนี้ไม่ได้ เพราะเราจำเป็นต้องติดตั้งโปรแกรมใหม่ ๆ ต้องบันทึกข้อมูลผ่านสื่อต่าง ๆ เราต้องต่อระบบเครือข่าย ต่ออินเทอร์เน็ทเพื่อค้นหาหรือดูข้อมูลใหม่ ๆเราสามารถป้องกันไวรัสได้อีกทางหนึ่งคือติดตั้งตัวป้องกันไวรัส ซึ่งมี 2 ประเภท คือ
1. Hardware ป้องกันไวรัส จะอยู่ในรูปแบบของ Card Antivirus คุณจะต้องติดตั้งไว้ในเครื่อง และคอยอับเดท Firmware ให้ใหม่อยู่เสมอ
2. Software ป้องกันไวรัส จะเป็นโปรแกรมป้องกันไวรัส แบบนี้จะได้รับความนิยม เพราะสามารถติดตั้งได้ทุกเครื่อง ไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ อะไรให้ยุ่งยาก จำเป็นต้องต่อเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ท เพื่อทำการอับเดทข้อมูลป้องกันไวรัส

6 เรื่องดี ๆ จากสตรอวเบอร์รี่!

6 เรื่องดี ๆ จากสตรอเบอร์รี่!

6 เรื่องดี ๆ จากสตรอวเบอร์รี่! (Lisa)

ใครวางแผนไปเที่ยวเชียงใหม่ยกมือขึ้น! อย่าลืมซื้อสตรอวเบอร์รี่มาฝากกันบ้างนะจ๊ะ เพราะเขาบอกว่าเจ้าผลไม้น่าเอ็นดูชนิดนี้มีประโยชน์มากมายเลยล่ะ

1.ดูแลสายตา

ปัญหาเกี่ยวกับดวงตาส่วนใหญ่จะเกิดจากอนุมูลอิสระ และการขาดสารอาหารบางชนิด และเมื่อเราอายุมากขึ้น ดวงตาของเรายิ่งถูกทำร้ายได้ง่าย ซ้ำร้ายความแก่ชราจะทำให้กล้ามเนื้อดวงตาเสื่อมสภาพ แต่สตรอวเบอร์รี่มีสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างวิตามินซี ฟลาโวนอยด์ กรดฟีโนลิก และกรดเอลลาจิก ซึ่งช่วยชะลอกระบวนการดังกล่าว แถมยังมีโพแทสเซียมซึ่งช่วยปรับความดันในตาให้เป็นปกติอีกด้วย

2.ป้องกันโรคข้ออักเสบและโรคเกาต์

เมื่อกล้ามเนื้อถูกใช้งานนาน ๆ เข้า กล้ามเนื้อของเราก็มีแต่จะถดถอยของเหลว บริเวณข้อต่อกระดูก็จะเหือดแห้งลงไปเรื่อย ๆ และร่างกายก็สะสมสารพิษอย่างกรดยูริกเอาไว้มากขึ้น ๆ ทำให้โรคข้ออักเสบและโรคเกาต์ถามหา แต่อย่าห่วงไป เพราะเราสามารถขับไล่โรคทั้งสองได้ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และสรรพคุณล้างพิษของสตรอวเบอร์รี่ค่ะ

3.กำราบโรคมะเร็ง

กินสตรอวเบอร์รี่ทุกวันสิคะเซลล์มะเร็ง และเนื้องอกต้องชิดซ้ายหลีกทางให้แก่สารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินซี โฟเลต และแอนโธไชยานินส์ ที่มีอยู่มากมายในสตรอวเบอร์รี่ค่ะ

4.ส่งเสริมการทำงานของสมอง

ยิ่งแก่ยิ่งขี้หลงขี้ลืม เพราะเนื้อเยื่อและเส้นประสาทในสมองเสื่อมสภาพจากอนุมูลอิสระตัวร้าย ซึ่งสตรอวเบอร์รี่ช่วยได้ เพราะมีวิตามินซี และไฟโตนิวเทรียนต์ ที่ทำให้อนุมูลอิสระหมดฤทธิ์ และคืนความอ่อนเยาว์ให้แก่ระบบประสาท แถมยังมีไอโอดีนที่ทำให้สมองและระบบประสาททำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

5.ลดความดันโลหิต

หากโซเดียมเป็นตัวการทำให้เกิดความดันโลหิตสูง สตรอวเบอร์รี่ก็มีโพแทสเซียมและแมกนีเซียมที่ช่วยปรับความดันให้เป็นปกติค่ะ

6.ปราบโรคหัวใจ

ใยอาหาร โฟเลต และสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย แถมวิตามินบีบางชนิดที่พบได้ในสตรอวเบอร์รี่ จะเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรงอีกด้วย

http://health.kapook.com/view8402.html

 

อาหารหลัก 5 หมู่

อาหารหลัก 5 หมู่ประกอบด้วย ภาพอาหารหลัก 5 หมู่ อาหารหลัก 5 s j

     อาหาร คือ สิ่งที่มีประโยชน์เมื่อร่างกายกินเข้าไปก็สามารถย่อย ดูดซึม และนำไปใช้ประโยชน์ได้ดังนั้นในวันหนึ่ง ๆ เราควรกิน อาหารให้ครบ 5 หมู่ ได้แก่

หมู่ที่ 1 เนื้อสัตว์ ไข่ นม ถั่ว

หมู่ที่ 2 ข้าว แป้ง น้ำตาล เผือก มัน

หมู่ที่ 3 ผักใบเขียวต่าง ๆ

หมู่ที่ 4 ผลไม้ต่าง ๆ

หมู่ที่ 5 ไขมันและน้ำมัน

อาหารหมู่ที่ 1 เนื้อ นม ไข่ และถั่วต่าง ๆ

อาหารหมู่ที่ 1 เนื้อสัตว์ ไข่ นม และถั่วต่าง ๆ อาหารหมู่นี้ส่วนใหญ่จะให้โปรตีน ประโยชน์ที่สำคัญคือ ทำให้ร่างกายเจริญเติบโต ทำให้ร่างกายแข็งแรง มีภูมิต้านทานโรค นอกจากนี้ยังช่วยซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ของร่างกายที่สึกหรอจากบาดแผล อุบัติเหตุ หรือจากการเจ็บป่วย

อาหารหมู่นี้จะถูกนำไปสร้างกระดูก กล้ามเนื้อ เลือด เม็ดเลือด ผิงหนัง น้ำย่อย ฮอร์โมน ลอดจนภูมิต้านทานเชื้อโรคต่าง ๆ จึงถือได้ว่าอาหารหมูนี้เป็นอาหารหลักที่สำคัญในการสร้างโครงสร้างของร่างกายในการเจริญเติบโต และทำให้อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้เป็นปกติ

อาหารในหมู่นี้ ได้แก่ นม ไข่ เนื้อ หมู วัว ตับ ปลา ไก่ และถั่วต่าง ๆ เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว หรือผลิภัณฑ์จากถั่ว เช่น นมถั่วเหลือง เต้าหู้ เป็นต้น

หมู่ที่ 2 ข้าว แป้ง น้ำตาล เผือก มัน

หมู่ที่ 2 ข้าว แป้ง น้ำตาล เผือก มัน จะให้สารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ซึ่งจะให้พลังงานแก่ร่างกาย ทำให้ร่างกายสามารถทำงานได้ และยังให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายอีกด้วย พลังงานที่ได้จากหมู่นี้ส่วนใหญ่จะใช้ให้หมดไปวันต่อวัน เช่น ใช้ในการเดิน ทำงาน การออกกำลังกายต่าง ๆ แต่ถ้ากินอาหารหมู่นี้มากจนเกินความต้องการของร่างกาย ก็จะถูกเปลี่ยนเป็นไขมัน และทำให้เกิดโรคอ้วนได้

อาหารที่สำคัญของหมู่นี้ ได้แก่ ข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์ที่ได้จากแป้ง เช่น ก๋วยเตี๋ยวรวมทั้งเผือก มันต่าง ๆ น้ำตาลที่ทำมาจากอ้อยและมาจากน้ำตาลมะพร้าว

อาหารหมู่ที่ 3 ผักต่าง ๆ

หมู่ที่ 3 อาหารหมู่นี้จะให้วิตามินและเกลือแร่แก่ร่างกาย ช่วยเสริมสร้างทำให้ร่างกายแข็งแรง มีแรงต้านทานเชื้อโรค และช่วยให้อวัยวะต่าง ๆ ทำงานได้อย่างเป็นปกติ

อาหารที่สำคัญของหมู่นี้ คือ ผักต่าง ๆ เช่น ตำลึง ผักบุ้ง ผักกาดและผักใบเขียวอื่น ๆ นอกจากนั้นยังรวมถึงพืชผักอื่น ๆ เช่น มะเขือ ฟักทอง ถั่วฝักยาว เป็นต้น

นอกจากนั้นอาหารหมู่นี้จะมีกากอาหารที่ถูกขับถ่ายออกมาเป็นอุจจาระทำให้ลำไส้ทำงานเป็นปกติ

อาหารหมู่ที่ 4 ผลไม้ต่าง ๆ

อาหารหมู่ที่ 4 ผลไม้ต่าง ๆ จะให้วิตามินและเกลือแร่ ช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง มีแรงต้านทานโรค และมีกากอาหารช่วยทำให้การขับถ่ายของลำไส้เป็นปกติ

อาหารที่สำคํญ ได้แก่ ผลไม้ต่าง ๆ เช่น กล้วย มะละกอ ส้ม มังคุด ลำไย เป็นต้น

หมู่ที่ 5 ไขมันและน้ำมัน

หมู่ที่ 5 ไขมันและน้ำมัน จะให้สารอาหารประเภทไขมันมาก จะให้พลังงานแก่ร่างกาย ทำให้ร่างกายเจริญเติบโต ร่างกายจะสะสมพลังงานที่ได้จากหมู่นี้ไว้ใต้ผิวหนังตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น บริเวณสะโพก ต้นขา เป็นต้น ไขมันที่สะสมไว้เหล่านี้จะให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย และให้พลังงานที่สะสมไว้ใช้ในเวลาที่จำเป็นระยะยาว

อาหารที่สำคัญ ได้แก่ ไขมันจากสัตว์ เช่น น้ำมันหมู ไขมันที่ได้จากพืช เข่น กะทิมะพร้าว น้ำมันรำ น้ำนมถั่วเหลือง น้ำมันปาล์ม เป็นต้น นอกจากนั้นจะมีไขมันที่แทรกอยู่ในเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ด้วย

http://info.muslimthaipost.com/main/index.php?page=sub&category=18&id=18487

สูตรผัดเผ็ดไก่

สูตรผัดเผ็ดไก่

มาเข้าครัวกันอีกเช่นเคยวันนี้เราจะแนะนำเมนูอาหารแสนอร่อยกับ สูตรอาหารไทย สูตรผัดเผ็ดไก่ ซึ่งมีรสชาติที่จัดจ้านและได้คุณค่าทางอาหารครบถ้วน รับรองทำดูแล้วจะติดใจด้วยขั้นตอนและการเตรียมที่ง่ายๆไม่ยุ่งยากและพร้อมอิ่มอร่อยกันได้เต็มที่

วัตถุดิบและส่วนผสม สูตรอาหารไทย สูตรผัดเผ็ดไก่

  1. เนื้อไก่ 442 กรัม
  2. ผิวมะกรูด 4 กรัม
  3. รากผักชี 2 กรัม
  4. น้ำตาลปี๊บ 14 กรัม
  5. กระชาย 6 กรัม
  6. ตะไคร้ 20 กรัม
  7. กะปิ 6 กรัม
  8. โหระพา 10 กรัม
  9. พริกชี้ฟ้าแห้ง 18 กรัม
  10. น้ำมัน 10 กรัม
  11. กระเทียม 44 กรัม
  12. น้ำปลา 17 กรัม
  13. หอมแดง 28 กรัม
  14. น้ำเปล่า 536 กรัม
  15. พริกไทย 2 กรัม
  16. พริกไทยอ่อน 18 กรัม
  17. ข่า 12 กรัม
  18. เกลือ 4 กรัม

(เหมาะสำหรับรับประทาน 4 ท่าน)

ขั้นตอนและวิธีในการทำ สูตรอาหารไทย สูตรผัดเผ็ดไก่

  1. ก่อนอื่นให้นำหั่นเนื้อไก่เตรียมเอาไว้ ต่อจากนั้นให้โขลกเครื่องแกงก็จะมีกระชาย หอมแดง พริกชี้ฟ้า ตะไคร้ รากผักชี พริกไทย ผิวมะกรูด ข่า กะปิ กระเทียม เกลือ จนละเอียด
  2. ต่อไปให้เตรียมกระทะตั้งไฟโดยใช้ไฟปานกลางใส่น้ำมันพืชลงไป เอาเครื่องแกงที่โขลกละเอียดในขั้นตอนแรกลงไปผัดจนมีกลิ่นหอม
  3. จากนั้นให้ใส่เนื้อไก่ลงไปผัดจนเนื้อไก่สุก เติมน้ำลงไปให้พอท่วม เคี่ยวไฟอ่อนๆ งวดลง ตามด้วยปรุงรสด้วย น้ำตาลปี๊บ และน้ำปลา จากนั้นโรยหน้าด้วยกระชายหั่นฝอย โหระพา พริกไทยอ่อน

ก็เสร็จเรียบร้อยพร้อมเสิร์ฟรับประทานร่วมกับข้าวสวยร้อนๆอร่อยเต็มอิ่มไปอีกมื้อสำหรับ สูตรอาหารไทย สูตรผัดเผ็ดไก่ อีกทั้งยังได้คุณประโยชน์จากสมุนไพรอีก อาทิเช่น หอมแดง นั้นช่วยบรรเทาอาการหวัด หายใจไม่ออก โหระพา นั้นช่วยแก้จุกเสียด ท้องอืด แน่นท้อง ช่วยเจริญอาหาร ฯลฯ

http://www.xn--m3c2aazhl9ab1d.net/2012/07/blog-post_13.html

ดาวอังคาร

ดาวอังคาร (Mars)  

              ดาวอังคารบางทีก็เรียกกันว่าดาวแดงเพราะผิวพื้นเป็นหินสีแดง หินบนดาวอังคารที่มีสีแดงก็เพราะเกิดสนิมท้องฟ้าของดาวดังคารเป็นสีชมพูเพราะฝุ่นจากหินแดงที่ว่านี้   ผิวของดาวอังคารเหมือนกับทะเลหินแดง มีก้องหินใหญ่และหลุมลึก ภูเขาสูง หุบ เหว และเนินมากมาย หนึ่งปีบนดาวอังคารเกือบเทาสองปีโลก แต่หนึ่งวันบนดาวอังคารจะนานกว่าครึ่งชั่งโมงโลกเพียงเล็กน้อยดาวอังคารมีอากาศห่อหุ้มอยู่ไม่มากและเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ลมพัดแรงจัดทำให้ฝุ่นฟุ้ง ไปทั้งดวงดาว ดาวอังคารมีขนาดโตประมาณครึ่งหนึ่งของโลก ดาวอังคารอยูไกลดวงอาทิตย์มากกว่าโลกจึงทำให้มีบรรยากาศหนาวเย็น อุณหภูมิบนดาวดวงนี้จะต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง

 ดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์ที่ได้รับความสนใจมากที่สุด ในบรรดาดาวเคราะห์บนฟ้าทั้งหมด เพราะเคยมีคนเชื่อว่า มีมนุษย์อยู่บนดาวเคราะห์สีแดงดวงนี้ ดาวอังคารยังเป็นดาวเคราะห์ที่มีโอกาสเข้ามาใกล้โลกเกือบพอๆ กับดาวศุกร์ โดยระยะใกล้ที่สุดจะอยู่ภายใน 40 ล้านกิโลเมตร เมื่อใช้กล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่ที่มีกำลังแยกภาพสูงสุด ส่องดาวอังคารขณะอยู่ใกล้โลกที่สุด จะเห็นรายละเอียดได้ถึง 150 กิโลเมตร ซึ่งเทียบได้กับการเห็นริ้วรอยบนดวงจันทร์ด้วยตาเปล่า ที่กำลังแยกภาพขนาดนี้จะไม่เห็นรายละเอียดของพื้นผิว เช่นไม่เห็นภูเขาหรือหุบเหว หรือหลุมบ่อของดาวอังคาร แต่จะเห็นโครงสร้างใหญ่ๆ เช่นขั้วน้ำแข็งสีขาว หรือริ้วรอยสีคล้ำซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลของดาวอังคาร สาเหตุที่มีผู้เชื่อว่ามีมนุษย์อาศัยอยู่บนดาวอังคาร เนื่องจากนักดาราศาสตร์ชาวอิตาลีชื่อ จิโอวานนี ชิอาพาเรลลี รายงานเมื่อ พ.ศ. 2420 ว่าเขาได้ใช้กล้องโทรทรรศน์ส่งพบร่องที่เป็นเส้นตรงจำนวนมากบนพื้นผิว และเรียกเป็นภาษาอิตาลีว่า คานาลี (canale) ซึ่งมีความหมายตรงกับภาษาอังกฤษว่า channel (ช่องหรือทาง) แต่คนอังกฤษเอาไปแปลว่า canal (คลอง) อันเป็นสิ่งซึ่งต้องขุดสร้างขึ้น ผู้ขุดสร้างคลองบนดาวอังคารจึงต้องเป็นมนุษย์ดาวอังคาร เพื่อนำน้ำจากขั้วมายังบริเวณศูนย์สูตรสำหรับการเพาะปลูก จุดนี้เองที่นำไปสู่การเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ ที่ทำให้เชื่อว่ามีมนุษย์ดาวอังคาร ซึ่งจะเดินทางมาบุกโลก ผู้ที่สนับสนุกความคิดเรื่องมนุษย์ดาวอังคารสร้างคลองส่งน้ำเพื่อการเพาะปลูก คือ เปอร์ซิวัล โลเวลล์ นักดาราศาสตร์อเมริกันและเป็นสมาชิกของครอบครัวที่มั่งคั่งในรัฐแอริโซนา เขาได้ทำแผนที่แสดงคลองต่างๆ บนดาวอังคาร แต่ต่อมามีนักดาราศาสตร์ได้ใช้กล้องโทรทรรศน์ที่มีกำลังแยกภาพที่ดีกว่า ตรวจไม่พบคลองบนดาวอังคาร แต่ชาวบ้านทั่วไปยังฝังใจเชื่ออยู่ จนกระทั่งถึงยุคอวกาศจึงปรากฏชัดว่าไม่มีคลองบนดาวอังคารแน่นอน พื้นผิวดาวอังคารมีหลุมบ่อ หุบเหว ภูเขา และมีปล่องภูเขาไฟ มีร่องเหมือนเป็นทางน้ำไหลมาก่อน ดังจะได้กล่าวต่อไปในหัวข้อการสำรวจดาวอังคารโดยยานอวกาศ

                ยานอวกาศลำแรกที่ประสบความสำเร็จในการผ่านใกล้ดาวอังคาร คือ ยานมารีเนอร์ 4 ของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2508 ภาพที่ถ่ายทอดกลับมาจำนวน 22 ภาพแสดงให้เห็นว่าพื้นผิวดาวอังคารมีหลุมและบ่อมากมาย ยานอวกาศมารีเนอร์อีกหลายลำต่อมา สามารถถ่ายภาพพื้นผิวรวมกันแล้วได้ครบทั่วทุกบริเวณ โดยเห็นภาพละเอียดถึง 1 กิโลเมตร ภาพถ่ายเหล่านี้ช่วยให้นักภูมิศาสตร์ทำแผนที่ของดาวอังคารได้ทั้งดวง บนพื้นผิวของดาวอังคารจึงพบการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทางธรณีวิทยา เช่น ปล่องภูเขาไฟ หุบเหวกว้างและลึกร่องที่เหมือนกับร่องน้ำที่เคยเป็นทางน้ำไหลมาก่อน ยานที่สำรวจดาวอังคารต่อจากยานมารีเนอร์ คือ ยานไวกิง 2 ลำ แต่ละลำประกอบด้วยยานลำแม่ที่เคลื่อนรอบดาวอังคาร ในขณะที่ส่งยานลูกลงสัมผัสพื้นผิวดาวอังคาร ยานไวกิง 1 ลงที่ไครส์ พลาทิเนีย (Chryse Planitia) ซึ่งแปลว่า ที่ราบแห่งทองคำ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2519 เป็นเวลา 7 ปีหลังจากที่ นีล อาร์มสตรอง เหยียบดวงจันทร์ ต่อจากนั้นอีก 2 เดือน ยานไวกิง 2 ก็ลงในที่ราบทางเหนือชือที่ราบยูโทเปีย (Utopia) ยานทั้งสองมีแขนกลยื่นออกไปตักดินบนดาวอังคารมาวิเคราะห์ภายในยาน เพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิต หรือซากของสิ่งมีชีวิต แต่การวิเคราะห์ไม่ยืนยันว่ามีหรือเคยมีสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร ต่อจากยานไวกิงคือ ยานมาร์สพาธไฟเดอร์ ที่นำรถโซเจนเนอร์ไปด้วย ยานได้ลงบนพื้นผิวดาวอังคารเมื่อเดือนกรกฏาคม พ.ศ. 2540 ภาพที่น่าตื่นเต้นคือการติดตามรถคันเล็กๆ เคลื่อนที่สำรวจก้อนหินใกล้ฐานซึ่ง ต่อมาได้รับชื่อว่า ฐานเซแกน ภาพก้อนหินที่เรียงในทิศทางเดียวกันชี้ให้ เห็นว่าบนดาวอังคารเคยมีน้ำไหลมาก่อน ล่าสุดยานมาร์สโกลบอล เซอร์เวเยอร์ ซึ่งกำลังเคลื่อนรอบดาวอังคารได้ส่งภาพหุบเหวที่เป็นร่องลึกหรือที่เรียกว่า แคนยอน ซึ่งคดเคี้ยวไปมา ในอนาคตสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น มีโครงการที่จะส่งยานอวกาศไปเก็บดินจากดาวอังคารกลับมาวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการบนโลก และอีกไม่นานมนุษย์จะเดินทางไปดาวอังคารเช่นเดียวกับการลงบนดวงจันทร์ เมื่อ พ.ศ. 2512 

 

http://www.thaigoodview.com/library/teachershow/phitsanulok/suwicha_p/mars.html

ตำนาน ดอกกุหลาบ กับความหมายดี ๆ

ตำนาน ดอกกุหลาบ กับความหมายดี ๆ

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

เคยได้ยินคำเปรียบเปรยไหมที่ว่า ผู้หญิงสวยแต่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมก็เปรียบได้ดัง “ดอกกุหลาบ” เพราะดอกกุหลาบนั้น แม้จะมีรูปร่างภายนอกที่สวยงามร วมถึงกลิ่นที่หอมชวนดม แต่มันก็มีหนามแหลม หากไม่ระวังอาจโดนบาดได้ง่าย ๆ

กุหลาบนั้นมีชื่อสามัญว่า “Rose” ชื่อทางพฤกษาศาสตร์ว่า “Rosa hybrids” และมีชื่อวงศ์ว่า “Rosaceae” ขยายพันธุ์โดยการตอนกิ่ง ลักษณะของกุหลาบนั้นมีทั้งไม้พุ่มและไม้เลื้อย ลำต้นและกิ่งจะมีหนาม ส่วนดอกของกุหลาบจะมีทั้งดอกเดี่ยวและเป็นช่อ กลีบดอกมีลักษณะใหญ่ มีไม่ต่ำกว่า 5 กลีบ กุหลาบนั้นมีกลิ่นหอมชวนดม และมีหลายสี เช่น แดง ขาว เหลือง ชมพู ฯลฯ อีกทั้งยังมีหลายชนิดด้วย

ซึ่งคำว่ากุหลาบนั้นมาจากคำว่า “คุล” ที่ในภาษาเปอร์เซียแปลว่า “สีแดง ดอกไม้ หรือดอกกุหลาบ” โดยในภาษาฮินดีก็มีคำว่า “คุล” แปลว่า “ดอกไม้” และคำว่า “คุลาพ” ก็หมายถึงกุหลาบอย่างที่ไทยเราเรียกกัน แต่ออกเสียงเป็น “กุหลาบ” ส่วนคำว่า “Rose” ในภาษาอังกฤษนั้นมาจากคำว่า”Rhodon” ที่แปลว่ากุหลาบในภาษากรีก 
   โดยกุหลาบเป็นดอกไม้ที่นิยมปลูกมาแต่โบราณ ว่ากันว่ากุหลาบเกิดขึ้นเมื่อ 70 ล้านปีมาแล้ว และเคยมีการค้นพบฟอสซิลของกุหลาบที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยแต่ก่อนกุหลาบนั้นเป็นกุหลาบป่าและมีรูปร่างไม่เหมือนในทุกวันนี้ แต่เนื่องจากมนุษย์ได้นำเอากุหลาบป่ามาปลูกและผสมพันธุ์จนขยายเป็นพันธุ์ต่าง ๆ มากมาย

ตามประวัติศาสตร์เล่าว่ากุหลาบป่าถูกนำมาปลูกไว้ในพระราชวังของจักรพรรดิ์ ในสมัยราชวงศ์ฮั่นราว 5,000 ปีมาแล้ว ขณะที่อียิปต์เองก็ปลูกกุหลาบเป็นไม้ดอกส่งไปขายให้แก่ชาวโรมัน เพราะชาวโรมันเป็นชาติที่รักดอกกุหลาบมาก แม้ว่าจะสั่งซื้อจากประเทศอียิปต์แล้วก็ตาม แต่ก็ยังลงทุนสร้างสถานที่ขนาดใหญ่สำหรับปลูกดอกกุหลาบอีกด้วย เพราะสำหรับชาวโรมันแล้วดอกกุหลาบนั้นมีความสำคัญต่อชีวิตประจำวัน อีกทั้งชาวโรมันถือว่าดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์ของความรัก เป็นทั้งของขวัญ และเป็นดอกไม้สำหรับทำมาลัยต้อนรับแขก รวมถึงเป็นดอกไม้สำหรับงานฉลองต่าง ๆ แถมยังเป็นส่วนประกอบสำหรับทำขนม ทำไวน์ และยาได้อีกด้วย

และเมื่อเอ่ยถึงดอกกุหลาบแล้ว หลาย ๆ คนก็คงจะนึกถึงเรื่องความรัก เพราะกุหลาบถือเป็นสัญลักษณ์ของความรักและความโรแมนติก โดยมีบางตำนานเล่าว่า ดอกกุหลาบเป็นเสมือนเครื่องหมายแทนการกำเนิดของ เทพธิดาวีนัส ซึ่งเป็นเทพแห่งความงามและความรัก วีนัสเป็นที่รู้จักกันในชื่อ อโฟรไดท์ ในตำนานเทพของกรีกได้กล่าวไว้ว่า น้ำตาของเธอหยดลงปะปนกับเลือดของ อคอนิส คนรักของเธอที่ถูกหมูป่าฆ่า เลือดและน้ำตาหยดลงสู่พื้นแล้วกลายเป็นดอกไม้สีแดงเข้มหรือดอกกุหลาบนั่นเอง แต่บางตำนานก็เล่าว่าดอกกุหลาบเกิดจากเลือดของ อโฟรไดท์ เองที่หยดลงสู่พื้น เมื่อเธอแทงตัวเองด้วยหนามแหลม

แม้จะไม่มีการบันทึกอย่างชัดเจนว่าดอกกุหลาบนั้นเข้ามาเกี่ยวข้องกับบ้านเราตอนไหน แต่จากบันทึกของ ลา ลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้บันทึกไว้ว่าเห็นกุหลาบที่กรุงศรีอยุธยา และในกาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศกสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ ก็ได้มีการกล่าวถึงกุหลาบเอาไว้ และยังมีตำนานดอกกุหลาบของไทยที่เป็นบทละครพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 6 เรื่อง มัทนะพาธา ในเรื่องเล่าถึงเทพธิดาองค์หนึ่งชื่อ “มัทนา” ซึ่งได้มีเทพบุตรองค์หนึ่งชื่อ “สุเทษณะ” ซึ่งพระองค์ทรงหลงรักเทพธิดา “มัทนา” มาก แต่นางไม่มีใจรักตอบ จึงถูกสาปให้ไปเกิดเป็นดอกกุหลาบ จึงกลายเป็นตำนานดอกกุหลาบแต่นั้นมา

โดยดอกกุหลาบนั้นสามารถสื่อความหมายได้หลายอย่าง อาทิ 

สีกุหลาบสื่อความหมาย

 สีแดง สื่อความหมายถึง ความรักและความปราถนา เป็นดอกไม้ของกามเทพ คิวปิด และอีรอส เป็นสิ่งนำโชคนำความรักมาให้แก่หญิงหรือชายที่ได้รับ

 สีชมพู สื่อความหมายถึง ความรักที่มีความสุขอย่างสมบูรณ์

 สีขาว สื่อความหมายถึง ความมีเสน่ห์ ความบริสุทธิ์ มิตรภาพ และความสงบเงียบ และนำโชคมาให้แก่หญิงหรือชายเช่นเดียวกับกุหลาบแดง

 สีเหลือง สื่อความหมายถึง เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอนะ

 สีขาวและแดง สื่อความหมายถึง ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

 สีส้ม สื่อความหมายถึง ฉันรักเธอเหมือนเดิม

จำนวนกุหลาบสื่อความหมาย

1 ดอก รักแรกพบ
2 ดอก แสดงความรู้สึกที่ดีให้กัน
3 ดอก ฉันรักเธอ
7 ดอก คุณทำให้ฉันหลงเสน่ห์
9 ดอก เราสองคนจะรักกันตลอดไป
10 ดอก คุณเป็นคนที่ดีเลิศ
11 ดอก คุณเป็นสมบัติชิ้นที่มีค่าชิ้นเดียวของฉัน
12 ดอก ขอให้เธอเป็นคู่ของฉันเพียงคนเดียว
13 ดอก เพื่อนแท้เสมอ
15 ดอก ฉันรู้สึกเสียใจจริงๆ
20 ดอก ฉันมีความจริงใจต่อเธอ
21 ดอก ชีวิตินี้ฉันมอบเพื่อเธอ
36 ดอก ฉันยังจำความหลังอันแสนหวาน
40 ดอก ความรักของฉันเป็นรักแท้
99 ดอก ฉันรักเธอจนวันตาย
100 ดอก ฉันอุทิศชีวิตนี้เพื่อเธอ
101 ดอก ฉันมีคุณเพียงคนเดียวเท่านั้น
108 ดอก คุณจะแต่งงานกับฉันไหม
999 ดอก ฉันจะรักคุณจนวินาทีสุดท้าย 

ความหมายอื่น

 กุหลาบแดงเข้ม (สีเหมือนไวน์แดง) “เธอช่างมีเสน่ห์งามเหลือเกิน”

 กุหลาบตูมสีแดง “ฉันเริ่มรักเธอแล้วจ้ะ”

 กุหลาบบานสีแดง “ฉันรักเธอเข้าแล้ว”

 กุหลาบสีแดงที่โรยแล้ว “ความรักของเรานั้นจบลงแล้ว”

 กุหลาบตูมสีขาว “เธอช่างไร้เดียงสาน่าทะนุถนอมเหลือเกิน ฉันรักเธอ”

 กุหลาบสีขาวที่โรยแล้ว “เสน่ห์ของเธอมันเริ่มลดน้อยถอยลงแล้วนะจ๊ะ”

 กุหลาบตูม สื่อความหมายถึง ความงามและความเยาว์วัย

และทั้งหมดนี้ก็คือเรื่องราวที่น่าสนใจของดอกกุหลาบ

ประวัติช๊อกโกแลต

ประวัติช็อกโกแลต 

ช็อกโกแลตถูกค้นพบมาตั้งแต่สองพันปีที่แล้ว หลังสมัยพระนางคลีโอพัตราแห่งอียิปต์

เป็นผลผลิตที่ได้จากเมล็ดของต้นคาเคา (cacao) ในป่าร้อนชื้นของทวีปอเมริกา จัดอยู่ในตระกูล Theobroma cacao แปลว่า “อาหารแห่งทวยเทพ”

ชนกลุ่มแรกที่รู้จักทำช็อกโกแลตเป็นอารยธรรมโบราณที่อยู่ในเม็กซิโก และอเมริกากลาง

ชนกลุ่มนี้ได้แก่ชาวมายา และชาวแอซเทค แห่งอารยธรรมเมโสอเมริกา

คนเหล่านี้เอาเมล็ดคาเคามาบดแล้วผสมกับเครื่องปรุงหลายชนิดเพื่อทำเป็นเครื่องดื่มที่มีรสขมเฝื่อน นอกจากใช้ประกอบอาหาร

แล้วช็อกโกแลตยังเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตเชิงศาสนาและสังคมด้วย

ชาวมายา (ค.ศ.250-900) เป็นชนชาติแรกที่มีหลักฐานชัดเจนว่าได้ค้นพบความลับของต้นคาเคา

โดยพวกเขาได้นำต้นคาเคามาจากป่าฝนและปลูกไว้ที่สวนหลังบ้าน

พอออกฝักก็เก็บเอาเมล็ดมาหมักบ้าง คั่วบ้าง และยังบดเป็นเนื้อเหนียว อยากชงเป็นเครื่องดื่มก็เอามาผสมน้ำ

โรยพริกไท แป้งข้าวโพด ก็จะได้เครื่องดื่มช็อกโกแลตรสซาบซ่ามีฟองฟ่อง 

ต่อมาราวคริสต์ศตวรรษที่ 14 อาณาจักรของชาวแอซเทคครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของอารยธรรมเมโสอเมริกา

โดยมีเมืองหลวงตั้งอยู่ที่เมืองปัจจุบันเรียกว่า เม็กซิโก ซิตี้

ชาวแอซเทคได้ซื้อขายเมล็ดคาเคากับชาวมายาและชนชาติอื่น และยังเรียกเก็บค่าบรรณาการจากพลเมืองของตนและเชลยเป็นเมล็ดคาเคา

โดยใช้แทนค่าเงิน ชาวแอซเทคนิยมดื่มช็อกโกแลตขมเช่นเดียวกับชาวมายายุคแรก

โดยปรุงรสชาติให้ซู่ซ่าขึ้นด้วยเครื่องเทศ ชาวเมโสอเมริกาสมัยนั้นยังไม่มีใครปลูกอ้อยก็เลยไม่มีใครใส่น้ำตาลกัน

เล่ากันว่า คนมายายุคคลาสสิกชอบดื่มช็อกโกแลตกันในวาระพิเศษ

ขณะที่บรรดาเชื้อพระวงศ์จะนิยมดื่มกันมาก

ส่วนชาวแอซเทค บรรดาผู้ปกครองระดับสูง พระ ทหารยศสูง และพ่อค้าที่มีหน้ามีตาเท่านั้นที่มีสิทธิลิ้มรสเครื่องดื่มศักดิ์สิทธิ์นี้

ช็อกโกแลตมีบทบาทสำคัญในพิธีของราชวงศ์และศาสนา พระใช้เมล็ดคาเคาเป็นเครื่องสักการะเทพเจ้า และดื่มในพิธีสำคัญ

สำหรับที่มาของชื่อช็อกโกแลตนั้นยังไม่มีใครอธิบายได้แจ่มชัด

แต่มีความเป็นไปได้สองทาง ทางแรกเป็นคำที่ผันมาจากคำว่า “ช็อคโกลัจ” ในภาษามายา

ซึ่งหมายถึง มาดื่มช็อกโกแลตด้วยกัน อีกทางหนึ่งอธิบายว่าน่าจะมาจากภาษามายาเช่นกัน

คือ ” chocol” แปลว่า ร้อน ผสมกับคำว่า “atl” ของแอซเทคที่แปลว่า น้ำ พอมารวมกันจึงกลายเป็นคำว่า chocolatl และมาเป็น chocolate ต่อมาในยุโรป

http://pirun.ku.ac.th/~b5141082/page2.html